วันพฤหัสบดีที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2555

ํYOYO Effects คืออาร๊ายยยย....


ใครที่เคยลดความอ้วนแล้วไม่รู้จักคำว่า Yoyo effects บ้างคะ เชื่อว่าหลายๆ คนคงมีประสบการณ์กับเจ้าโยโย่มาแล้ว ส่วนคนที่ยังไม่เคยมีประสบการณ์อาจจะไม่รู้จักว่าโยโย่ เอฟเฟ็คคืออะไร

โยโย่ เอฟเฟ็ค เป็นอาการที่เกิดขึ้นเมื่อเราลดความอ้วนอย่างผิดวิธีเช่นการการอดอาหาร กินยาลดความอ้วน แล้วเมื่อเลิกอดอาหารหรือเลิกกินยา เราก็กลับมาอ้วนใหม่ และส่วนใหญ่จะอ้วนกว่าเดิมด้วยซ้ำไป เป็นการเปรียบเทียบเหมือนกับการเล่นลูกดิ่งโยโย่ ที่เรายิ่งปล่อยออกไปเร็ว แรงและไกลเท่าไหร่ ก็ยิ่งคืนกลับมาสู่มือเราเร็วขึ้นเท่านั้น

ในผู้ที่อดอาหารนั้น โยโย เอฟเฟ็คจะเกิดจากการที่ระบบเผาผลาญพลังงานของร่างกายเสียไปช่วงระหว่างที่อด เมื่อกลับมาทานอาหารเท่าเดิม หรือ บางคนอาจจะกระหน่ำทานมากกว่าเก่าด้วยเพราะอดอยากมานาน และร่างกายไม่สามารถเผาผลาญได้ดีเท่าเดิม ผลคือ กลับมาอ้วนขึ้นนั่นเอง การอดทำให้ผอมลงก็จริง แต่เป็นเพียงระหนึ่งเท่านั้น เมื่อร่างกายปรับตัวกับการใช้พลังงานที่น้อยลงได้ ก็จะเริ่มสะสมพลังงานอีกครั้ง

การกินยาลดความอ้วนนั้น สามารถเกิด Yoyo effects ได้เกิน 90% โดยเฉพาะยาลดความอ้วนที่เป็นยาขับน้ำหรือขับปัสสาวะ ซึ่งยาประเภทนี้หมอใช้กับคนไข้ที่มีอาการบวมน้ำ แต่ถ้าเอามาใช้กับการลดน้ำหนักจะมีผลตามมามากมายเนื่องจากร่างกายขาดน้ำ จึงทำให้เซลล์ในร่างกายพยายามอุ้มและเก็บกักน้ำที่มีอยู่ไว้ ทำให้เกิดอาการตัวบวมน้ำขึ้น ที่ร้ายไปกว่านั้นคือการบวมแบบนี้ลดไม่ลงค่ะ ยิ่งถ้าใช้ร่วมกับยาที่กดประสาทไม่ให้หิวและยาที่ช่วยเร่งการเผาผลาญ มันทำให้เราลดน้ำหนักได้อย่างรวดเร็วก็จริง แต่เมื่อหยุดยา พฤติกรรมที่ถูกกดไว้ก็ถูกปล่อยออกมา ไอ้เจ้าโยโย่ก็เลยมาเยี่ยมเยือน ทั้งบวมน้ำ ทั้งโยโย่จากพฤติกรรมการกิน เราก็จะอ้วนกันแบบนอนสต็อป !

บางคนอาจจะบอกว่า ก็หมอบอกว่ามียาหยุด ไม่ต้องห่วงเรื่องโยโย่ ความจริงแล้วยาหยุดไม่ได้ช่วยอะไรเลย เนื่องจากไอ้ยาหยุดมันก็ยาตัวเดิมแหละแค่ลดปริมาณลดลง ช่วยให้ร่างกายค่อยๆ ปรับตัวได้ แต่มันไม่สามารถซ่อมแซมระบบเผาผลาญของเราที่เสียไปให้กลับมาดีดังเดิมได้ แถมตอนที่เรากินยาหยุดนั้นเราก็ยังขาดสารอาหาร เพิ่มเวลาทำลายเตาผลาญพลังงานต่ออีกตะหาก

อย่างไรก็ตามในกลุ่มของผู้ที่รับประทานอาหารเสริมเช่น CLA ส้มแขก โครเมี่ยม จะไม่ค่อยพบปัญหาการเกิดโยโย่ เนื่องจากพวกนี้จะเกิดผลช้า ต้องทานต่อเนื่อง ค่อยเป็นค่อยไป ทำให้อัตราการใช้พลังงานของร่างกายไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงค่ะ

วันพุธที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2555

จริงหรือ การนอนไม่พอทำให้เราอ้วนขึ้น



ศาสตราจารย์ Eve Van Cauter นักวิจัยจากคณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยชิคาโก ได้ตีพิมพ์ผลงานวิจัยในวารสารการแพทย์ “Annals of Internal Medicine” ว่า การนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ มีผลต่อฮอร์โมนในร้างกายที่ควบคุมความอยากอาหารของร่างกาย

ศาสตราจารย์ Eve พบว่าการนอนหลับเพียง 4 ชั่วโมงต่อคืนเป็นเวลา 2 คืนติดต่อกัน จะทำให้ฮอร์โมน Leptin ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ทำให้ไม่หิวลดลง 18% ในขณะที่ฮอร์โมน Ghrelin ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่กระตุ้นให้เกิดความอยากอาหารเพิ่มขึ้นถึง 28%

อาสาสมัครรายงานว่า นอกจากความหิวที่เพิ่มขึ้นแล้ว พฤติกรรมในการรับประทานอาหารก็เปลี่ยนไปด้วย โดยมีความอยากอาหารรสหวาน และ อาหารรสเค็มเพิ่มขึ้น รวมถึงอาหารประเภทแป้งเพิ่มมากขึ้น และ ความอยากในการรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพเช่น ผัก ผลไม้ กลับลดลง

นักวิจัยได้อธิบายถึงสาเหตุที่พฤติกรรมในการกินเปลี่ยนไปว่า เนื่องจากสมองเป็นอวัยวะที่ใช้ Glucose เป็นพลังงาน จึงทำให้อาสาสมัครเหล่านั้นเลือกรับประทานอาหารกลุ่มที่เป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงเดี่ยว เช่น แป้งขัดขาว หรือน้ำตาลทรายขาว เพื่อชดเชยการนอนไม่พอ

จากการวิจัยในครั้งนี้กล่าวได้ว่า การนอนหลับเป็นปัจจัยหลักในการควบคุมฮอร์โมนความหิว Leptin และ Ghrelin ซึ่งทำให้มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงระดับความหิว รวมไปถึงการเลือกชนิดของอาหารในการบริโภคด้วย

ดังนั้นเราควรพักผ่อนอย่างเพียงพอ คือ ประมาณ 8 ชม.ต่อวัน หรือ อย่างน้อยไปควรต่ำกว่า 6 ชม. ต่อวัน และงดทานอาหารมื้อใหญ่หลังพระอาทิตย์ตกดิน ออกกำลังกายตามสมควร เข้านอนแต่หัวค่ำ เพื่อสุขภาพที่ดีของเราและช่วยลดโอกาสเสี่ยงที่ทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นด้วยค่ะ

วันอังคารที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2555

รู้จักกับเซลลูไลท์และวิธีขจัดผิวเปลือกส้มกันค่ะ

Cellulite คือ ลักษณะของเซลล์ไขมันที่สะสมอยู่ในชั้นบนของผิวหนัง ที่ขรุขระ เป็นก้อนนูน ไม่เรียบเนียน คล้ายๆ กับผิวของเปลือกส้ม มักพบได้ตามบริเวณ สะโพก ต้นแขน ต้นขา ก้น และหน้าท้อง ซึ่งเกิดได้จากหลายสาเหตุเช่น ระบบเผาผลาญของร่างกายผิดปกติ ขาดการออกกำลังกาย หรืออาจเกิดจากความไม่สมดุลของฮอร์โมน เป็นต้น



ประเภทของเซลลูไลท์
Hard Cellulite มักพบในผู้หญิงที่อายุระหว่าง 20-40 ปี และมีการออกกำลังกายเป็นประจำ ลักษณะจะเป็นก้อนแข็งเล็กๆ เมื่อบีบตามร่างกาย พบได้บ่อยบริเวณสะโพกและก้น

Flaccid Cellulite พบได้กับผู้หญิงที่มีอายุมากกว่า 40 ปี ที่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย มีลักษณะเป็นก้อนไขมันนุ่มๆ มีการหย่อนคล้อย กล้ามเนื้ออ่อนเหลว บริเวณที่มักเกิด Flaccid Cellulite คือ ท้องแขน คาง เอว หน้าท้อง

Edematous Cellulite มีสาเหตุจากการไหลเวียนของโลหิตไม่ดี มีการคั่งของน้ำเหลือง ทำให้มีลักษณะเหมือนการบวมน้ำ กดแล้วบุ๋ม พบได้บ่อยบริเวณต้นขา สะโพก ผิวหนังบริเวณที่เกิดเซลลูไลท์ประเภทนี้มักจะดูบอบบางเห็นเส้นเลือดและบวม

Mix Cellulite เป็นประเภทที่พบได้บ่อยที่สุด คือ ในคนเดียวสามารถเกิดเซลลูไลท์ได้ทุกประเภทตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย

วิธีในการป้องกันสลายเซลลูไลท์
Mesotherapyการฉีดเมโสจะเป็นการสลายไขมันเฉพาะส่วนด้วยการฉีดยาเข้าใต้ผิวหนังชั้น Mesoderm (จากประสบการณ์ที่เคยฉีดเห็นผลจริง แต่เจ็บมากและเกิดรอยฟกช้ำบางจุดที่ฉีดเพราะไปโดนเส้นเลือดฝอย)

Carboxy Therapyเป็นการสลายไขมันเฉพาะส่วนเช่นกัน ด้วยการฉีดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ชั้นไขมันใต้ผิวหนังเพื่อสลายไขมันและเซลลูไลท์ ทำให้เกิดการเผาผลาญไขมันมากขึ้น (อันนี้ก็เคยลองทำแล้วเช่นกัน เจ็บมากแค่ช่วงปล่อยก๊าซ 1000 cc แรก หลังจากนั้นจะชา จะเห็นผลชัดเจนว่าเซลลูไลท์ลดลงหลังจากทำไปแล้ว 10 ครั้ง)

คุมอาหาร – รับประทานอาหารที่ต้านเซลลูไลท์ เช่น พืชผักผลไม้ เพราะวิตามิน E และ C จะช่วยให้ผิวหนังกระชับขึ้น รวมถึงรับประทานอาหารกลุ่มที่มีกรดไขมัน ได้แก่ ถั่ว น้ำมันปลา เมล็ดพืช ซึ่งจะทำให้การไหลเวียนโลหิตมากขึ้น และควรหลีกเลี่ยงกลุ่มอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตและไขมันสูง ของหวาน อาหารรสเค็ม ไขมันสัตว์ กาแฟ แอลกอฮอล์

การนวด

บริเวณหน้าท้อง – วางมือทั้ง 2 บนหน้าท้อง นวดหมุนวนตามเข็มนาฬิกา เริ่มจากสะโพกวนเข้าสะดือและนวดต่อจากสะดือมาบริเวณใต้ทรวงอก

บริเวณสะโพก – วางมือทั้ง 2 ข้างลงบนสะโพกส่วนล่างทั้งซ้าย ขวา นวดวนตามเข็มนาฬิกาจากสะโพกขึ้นข้างบน

บริเวณต้นขา – ยกขาตั้งฉากกับลำตัว นวดไล่หมุนวนขึ้นจากข้อเท้าไล่ขึ้นมาจนถึงต้นขา นวดให้ทั่วทั้งด้านหน้าและด้านหลัง
การนวดนั้นสามารถใช้คู่กับครีมกระชับสัดส่วนหรือใช้เครื่องนวดที่ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนโลหิตและทำให้เซลลูไลท์แตกตัวได้ 

วิธีช่วยกระชับสัดส่วนอย่างง่ายๆ



วันนี้เรามีเทคนิคในการลดกระชับสัดส่วนอย่างง่ายๆ มาฝากค่ะ อันนี้เธอราพิสที่ BodyShape เค้าแอบบอกมาคือให้เราหาครีมกระชับสัดส่วนมาทาตรงบริเวณที่คิดว่าไม่กระชับ หย่อนคล้อย เช่น ต้นแขน ต้นขา น่อง เอว เป็นแบบเจลร้อน หรือที่มีส่วนผสมสารสกัดจากพริก ชาเขียว หรือ กาแฟก็ได้ แล้วให้ทาย้อนรูขุมขนขึ้นมา นวดจนครีมซึมเข้าผิว ที่สำคัญควรใช้ครีมในปริมาณที่เหมาะสมด้วย อืม...แปลว่าอย่างกนั่นเอง - -" พูดดักคอเหมือนรู้นะเนี่ย แหม...ตะเอง ก็ครีมดีๆ มันแพงนี่นา  การทาครีมนั้นควรทาหลังอาบน้ำ หลังทาเสร็จแล้วให้เอาผ้ามาพัน ผ้าแบนเอจที่มันขายเป็นม้วนๆ ที่ไว้พันตอนขาเคล็ดอะไรทำนองนั้นอะ มันจะยืดหยุ่นได้ดี รัดให้แน่นๆ ขึ้นอยู่กับบริเวณที่พันด้วยนะ ถ้าเป็นหน้าท้อง แน่นมากไประวังหายใจไม่ออก แล้วเราก็ทำกิจกรรมอะไรตามปกติ ผลที่ได้จะคล้ายๆ การใส่ชุดแบบโอนามิหรือการทำทรีทเมนท์แพงๆ ที่ใช้หลักการเดียวกัน แต่วิธีนี้เราสามารถทำได้ทุกวันด้วยตัวเองและประหยัดกว่าด้วย

นอกจากนี้เราควรจะสครับผิวบ้าง อาทิตย์ละ 2-3 ครั้ง เพื่อขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออก ทำให้ครีมสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และระหว่างอาบน้ำควรจะนวดตัวบ้าง ซื้อที่นวดที่มีขายทั่วไป หรือใช้มือก็ได้ (แนะนำอุปกรณ์เสริมมากกว่า เพราะมันจะเมื่อยมือมากๆ และต้องใช้ความถึกพอสมควร ) จะทำให้น้ำเหลืองไหลเวียนดียิ่งขึ้น ช่วยลดเซลลูไลท์หรือผิวเปลือกส้มได้ดี ส่วนวิธีการนวดอย่างละเอียดนั้น จะเอามาฝากคราวหน้าค่ะ ^ ^

วันศุกร์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2555

แฉเรียงคิว ยาลดความอ้วน อันตราย!!!



แฉเรียงคิว "ยาลดอ้วน" แสนอันตราย ผลข้างเคียงสูงปรี๊ดต่อ "สมอง-หัวใจ-หลอดเลือด-ไต" (มติชนออนไลน์)

แจงรายละเอียด "ยาลดความอ้วน" แต่ละประเภท แยกกันทำหลายหน้าที่เพื่อให้ "ดูผอม" ผลข้างเคียงสูงมากต่ออวัยวะสำคัญของร่างกาย ไม่ว่าจะเป็น "สมอง-หัวใจ-หลอดเลือด-ไต"

ความอ้วนถูกบีบให้กลายเป็นสัญลักษณ์ของ "สิ่งน่ารังเกียจ" คนอ้วนมักถูกล้อเลียนและเหยียดหยามมากกว่าคนผอม หรือแม้แต่ในวงการแพทย์ ความอ้วนก็กลายเป็นเรื่องน่ารังเกียจเพราะส่งผลเสียต่อสุขภาพ แต่แม้ความอ้วนจะเป็นเรื่องน่าห่วงใย เรากลับมีการส่งเสริมปัจจัยกระตุ้นให้เกิดความอ้วนมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็น อาหารที่มีไขมันสูง น้ำอัดลม อาหารแปรรูป หรือขนมกินเล่น ที่ล้วนแต่ให้พลังงานสูง คนที่เข้าข่ายเป็น "โรคอ้วน" จึงมีโอกาสเกิดโรคร้ายหลายชนิดมากกว่าคนอื่น เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ข้อเข่าเสื่อม หัวใจขาดเลือด เป็นต้น

แต่คนที่ยังไม่ทันจะอ้วน หลายคนกลับชอบคิดว่าตัวเองอ้วนเกินไป จนต้องยอมเสี่ยงภัยจาก "ยาลดความอ้วน" แม้ว่าจะส่งผลเสียต่อสุขภาพหรือเสียเงินมากเท่าไหร่ก็ยอม กรณีนี้เป็นการแสดงให้เห็นว่า หลายคนยังไม่เข้าใจเรื่องความอ้วนไม่ดีพอ เพราะตามความจริงแล้ว ยาลดความอ้วนไม่ได้ช่วยสลายความอ้วนในร่างกายเราเลย แต่ได้ช่วยในด้านอื่นๆ เช่น การระงับความหิว เพิ่มการเผาผลาญร่างกาย ลดไขมัน ระบายน้ำ


ประเภทของยาลดความอ้วน

          1. ยาควบคุมความหิว ยากลุ่มนี้ออกฤทธิ์กดศูนย์ควบคุมความหิวในสมอง ทำให้ไม่รู้สึกอยากทานอาหารและอิ่มเร็ว แต่เนื่องจากยาประเภทนี้ออกฤทธิ์ต่อสมองโดยตรง ทำให้เกิดผลแทรกซ้อนค่อนข้างมาก เช่น นอนไม่หลับ กระสับกระส่าย หงุดหงิด ใจสั่น ปากแห้ง

          2. ยาเพิ่มการเผาผลาญพลังงานในร่างกาย เป็นการนำยาในกลุ่ม "ไทรอยด์ฮอร์โมน" ที่ใช้รักษาผู้ป่วยโรคไทรอยด์มาใช้ เพราะยากลุ่มนี้สามารถเพิ่มอัตราการเผาผลาญพลังงาน น้ำหนักจึงลดลงอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม น้ำหนักที่ลดลงเป็นน้ำหนักที่เกิดจากมวลรวมของร่างกาย แทนที่จะเป็นไขมัน ดังนั้น ยานี้จึงส่งผลข้างเคียงสูงมาก แถมยังเป็นอันตรายต่อระบบหัวใจและหลอดเลือดอีกด้วย

          3. ยาระบายและยาขับปัสสาวะ เป็นที่นิยมอย่างมาก เนื่องจากทำให้เห็นผลเร็วและน้ำหนักลดลงมาก แต่ความจริงแล้วถือเป็นภาพลวงตา เพราะสิ่งที่ลดลงไม่ใช่ไขมัน แต่เป็นน้ำภายในร่างกาย การใช้ยาประเภทนี้จะส่งผลข้างเคียง เช่น ทำให้ขาดเกลือแร่ที่สำคัญ และอาจทำให้ไตมีปัญหาได้

          4. ยาที่ช่วยทำให้รู้สึกอิ่มเร็วขึ้น ส่วนใหญ่จะเป็นพวกใยอาหาร (ไฟเบอร์) เช่น บุก แมงลัก ซึ่งมักทำให้เกิดอาการท้องอืด

          5. ยาลดการดูดซึมไขมัน ทำหน้าที่ยับยั้งการทำงานของน้ำย่อย ที่มีหน้าที่ย่อยสลายไขมัน เมื่อไขมันไม่ถูกย่อยก็จะไม่ถูกดูดซึมเข้าร่างกาย และในที่สุดจะถูกขับถ่ายออกไป อย่างไรก็ตาม ยาประเภทนี้มีผลข้างเคียงทำให้ มีลมในลำไส้มาก ท้องอืด ถ่ายอุจจาระเป็นน้ำมัน ผายลมมีน้ำมันปนออกมา อุจจาระบ่อย หรือกลั้นอุจจาระไม่อยู่ เป็นต้น

          6. อาหารเสริมที่อ้างว่าสามารถช่วยลดน้ำหนัก เช่น ไคโตซาน ส้มแขก

          7. วิตามิน มันถูกจ่ายควบคู่มาด้วย เนื่องจากผลข้างเคียงของยาต่างๆ ข้างต้นทำให้ไม่รู้สึกหิว กินอาหารไม่เพียงพอ หรือระบายน้ำออกจากร่างกายมากไป ทำให้ร่างกายสูญเสียเกลือแร่และวิตามัน

 ส่วนยากลุ่มที่เป็นปัญหามากที่สุด คือ ยาในกลุ่มออกฤทธิ์ระงับความหิว โดยที่นิยมมากคือ "เฟนเตอมีน" (Phentermine) หรือยาในกลุ่มเดียวกัน จัดเป็นวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท ประเภท 2 และต้องจ่ายโดยแพทย์เท่านั้น ยาประเภทนี้ถูกควบคุมจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) อย่างเข้มงวด เนื่องจากส่งผลข้างเคียงสูง

อย.อนุญาตให้ขาย "เฟนเตอมีน" แก่แพทย์ได้ไม่เกิน 5,000 เม็ดต่อเดือน เพื่อป้องกันการจ่ายยาพร่ำเพรื่อ นอกจากนี้ แพทย์ยังต้องรายงานการใช้การนี้ทุกครั้ง อย่างไรก็ตาม ในทางปฏิบัติ ยังไม่มีการยืนยันว่า แพทย์ผู้ได้รับอนุญาตจะมีการดูแลและควบคุมการใช้ยาประเภทนี้ตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดหรือไม่


Credit : มติชนออนไลน์, กระปุกดอทคอม

Review ยาลดความอ้วน



อันนี้จะมาเล่าประสบการณ์ในการกินยาลดความอ้วนให้ฟังค่ะ เผื่อจะเป็นข้อคิดสำหรับผู้ที่อยากจะผอมทางลัดเหมือนเรา เราเคยกินยาลดความอ้วนของคลินิคชื่อดังที่มีสาขาเยอะมาก ตอนไปหาหมอก็จะวัดส่วนสูง ชั่งน้ำหนัก วัดความดัน และสอบถามเกี่ยวกับตัวเราเช่น เคยกินยาลดน้ำหนักมาก่อนหรือเปล่า อยากลดกี่กิโล แล้วก็มาอธิบายยาที่เราจะกินว่าช่วยเรื่องอะไรบ้าง ทานยังไง และการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการบริโภค สรุปวันนั้นเราได้ยามา 2 ชุด ชุดแรกเป็นยาลดน้ำหนักซึ่งจะช่วยทำให้เราไม่หิว ยาขับปัสสาวะ ยาช่วยทำให้นอนหลับ ยาช่วยระบายถ้าถ่ายไม่ออก ประมาณนั้น ส่วนชุดที่ 2 เป็นยาละลายไขมัน

หลังจากที่ทานไป เราทานอาหารได้น้อยลง ไม่ค่อยหิว น้ำหนักลดไป 2 กิโลกว่าในสัปดาห์แรก รู้สึกดีใจมาก ถึงมีผลข้างเคียงบ้าง เช่น นอนไม่ค่อยหลับ หงุดหงิดง่าย ก็คงไม่เป็นไร เลยทานต่อมาเรื่อยๆ หมอก็เพิ่มความแรงของยาขึ้น เราน้ำหนักลดอย่างรวดเร็ว ลดทุกอาทิตย์ แต่ผลข้างเคียงที่ได้รับก็เพิ่มมากขึ้น เช่น กระวนกระวาย คลื่นไส้ตลอดเวลา ร่างกายขาดน้ำ กลางคืนไม่หลับ มีกลิ่นปาก ไม่มีแรง เราก็ยังฝืนทานต่อเพราะความอยากผอมมีมากกว่า จนมาถึงจุดที่คิดว่าไม่ไหวแล้วคือ รู้สึกเบลอ วันๆ ทำอะไรแทบจำไม่ได้ มีวูบหลับเป็นพักๆ ความดันลดต่ำมาก รู้สึกหวิวๆ จะเป็นลมบ่อย แม่บอกว่าพอเถอะ ผลที่ได้มันไม่คุ้มกับสิ่งที่เราเป็นตอนนี้หรอก หลังจากนั้นก็ไปหาหมอที่เดิมรับยาหยุดมาทาน หลังจากนั้นไม่กี่เดือนน้ำหนักก็กลับมาแถมยังมากขึ้นกว่าเดิมด้วย ซึ่งเกิดจากระบบเผาผลาญเราเสียไปแล้วนั่นเอง รวมถึงระบบขับถ่ายด้วย เพราะเราต้องกินยาถ่าย หลังจากหยุดยาเราแทบจะถ่ายเองไม่ได้

ใครที่คิดจะผอมทางลัดโดยการกินยาลดความอ้วนขอแนะนำให้เปลี่ยนวิธีเป็นการลดน้ำหนักแบบอื่นจะดีกว่า ถึงแม้จะช้าหน่อย แต่ก็ปลอดภัยต่อสุขภาพ ยาลดความอ้วนนั้นอันตรายจริงๆ มีข่าวออกมาหลายครั้งแล้วว่าคนที่กินยาลดน้ำหนักแล้วตาย เราถือว่าเราโชคดีมากที่ยังเลิกใช้ทันก่อนสายไป หวังว่าบทความนี้คงเป็นประโยชน์กับคนที่อยากผอมทางลัดนะคะ  

วันพฤหัสบดีที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2555

แอล คาร์นิทีนกับการลดน้ำหนัก



L-Carnitine คืออะไร?

แอล คาร์นิทีน เป็นกรดอะมิโนชนิดหนึ่ง ที่ร่างกายสามารถผลิตเองได้ โดยสร้างขึ้นมาจากกรดอะมิโน 2 ตัว คือ ไลซีน และ เมไทโอนีน นอกจากร่างกายเราสามารถสร้างเองได้แล้ว ร่างกายสามารถได้รับแอล คาร์นิทีนจากการบริโภคอาหารประเภทเนื้อสัตว์ คนเอเชียจะพบแอล คาร์นิทีนในร่างกายน้อยกว่าคนยุโรป เนื่องจากเนื้อสัตว์ที่รับประทานส่วนใหญ่เป็นสีขาว ซึ่งแอล คาร์นิทีนนั้นจะน้อยกว่าเนื้อสัตว์สีแดง

L-Carnitine ดีอย่างไร?

แอล คาร์นิทีนมีประโยชน์หลายอย่าง เช่น ทำให้ระดับไตรกลีเซอร์ไรด์อยู่ในระดับต่ำ ป้องกันโรคหัวใจ ช่วยทำให้เราแก่ช้าลงเนื่องจากทำให้เซลล์มีอายุนานขึ้น ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานดีขึ้น ช่วยการทำงานของตับ ซึ่งส่งผลต่อสุขภาพโดยรวมของเรา นอกจากนั้นยังช่วยเพิ่มความสามรถในการออกกำลังกายเพิ่มขึ้น มีความทนทานมากขึ้น และป้องกันเนื้อเยื่อไม่ให้เกิดความเสียหายจากปริมาณออกซิเจนในเซลล์ไม่เพียงพอ เพิ่มระดับพลังงานของร่างกายอย่างเป็นธรรมชาติโดยที่ร่างกายไม่ได้รับความเสียหายใดๆ เหมือนกับสารสกัดชนิดอื่น เช่น Ephedra และที่สำคัญคือ L-Carnitine ช่วยร่างกายเปลี่ยนกรดไขมันไปเป็นพลังงานนั่นเอง ทำให้ไขมันสะสมในร่างกายลดลง กระชับสัดส่วน น้ำหนักลดลงได้

การรับประทาน L-Carnitine เพื่อลดน้ำหนัก

ควรรับประทานควบคู่ไปกับการคุมอาหาร และ ออกกำลังกาย โดยกินก่อนออกกำลังกายประมาณ 15-30 นาที

ผลข้างเคียง

ไม่ควรรับประทานเกินวันละ 5 กรัม เพราะอาจจะทำให้มีอาการคลื่นไส้อาเจียน หรือในบางรายจะทำให้ความอยากอาหารเพิ่มขึ้น มีกลิ่นตัว และเกิดผื่นแดง

ข้อควรระวัง
สำหรับคนที่แพ้อาหารโปรตีน เช่น ไข่ นม หรือข้าวสาลี ไม่ควรกิน แอล คาร์นิทีนเสริมเป็นอันขาด รวมถึงเด็กอายุต่ำกว่า 2 ขวบ และสตรีมีครรภ์ ถ้าจำเป็นก็ให้ใช้ใต้การดูแลของแพทย์ค่ะ

ลดอาหาร = ลดอัตราการเผาผลาญ = อ้วนขึ้น

ลดอาหาร = ลดอัตราการเผาผลาญ ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น?














เวลาที่เราลดน้ำหนักด้วยการอดอาหารหรือทานอาหารที่มีแคลอรี่ต่ำ ร่างกายเราจะรู้สึกเหมือนอยู่ในสภาวะอดอยาก ร่างกายเราจึงมีการเก็บสะสมไขมันไว้ให้มากที่สุดเป็นกลไกในการปกป้องร่างกายเพื่อสะสมพลังงานไว้ใช้ในอนาคต นอกจากนี้ยังก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงระดับฮอร์โมนหลายอย่างที่ส่งผลให้การลดน้ำหนักยากมากขึ้นในระยะยาว

ร่างกายเราจะมีการดึงกล้ามเนื้อออกมาใช้เป็นแหล่งพลังงาน เวลาที่มันดึงโปรตีนออกมาใช้งานจะมีกระบวนการทางเคมีเกิดขึ้น ผลของกระบวนการนั้นคือ ไนโตรเจน ซึ่งร่างกายจะกำจัดไนโตรเจนด้วยการปล่อยไปกับน้ำที่ดึงออกจากเนื้อเยื่อเซลล์ต่างๆ ซึ่งจะส่งผลให้น้ำหนักตัวเราลดลงเพราะมีการสูญเสียมวลน้ำของร่างกาย ซึ่งน้ำหนักที่ลดลงไปนั้นพร้อมที่จะกลับมาเมื่อใดก็ได้ทันทีที่คุณดื่มอะไรซักอย่าง

นอกจากนี้การที่เราสูญเสียมวลกล้ามเนื้อไปกับการเปลี่ยนมาเป็นพลังงานจะส่งผลกระทบต่อระบบการเผาผลาญพลังงานของร่างกายในระยะยาว เนื่องจากกล้ามเนื้อเป็นตัวทำให้เกิดการกระตุ้นการเผาผลาญ เพราะว่าร่างกายเราต้องใช้พลังงานจำนวนนึงเพื่อรักษาสภาพของกล้ามเนื้อไว้ ดังนั้นยิ่งเรามีมวลกล้ามเนื้อมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งต้องใช้พลังงานมากขึ้นนั่นเอง
การที่เราอดอาหารหรือบริโภคอาหารแคลอรี่ต่ำมากเกินไป ถึงแม้ว่าเราจะสามารถลดน้ำหนักได้ตามต้องการ แต่เมื่อเรากลับมากินแบบเดิมๆ น้ำหนักเราก็จะกลับมาเท่าเดิมหรือในกรณีที่แย่กว่าคือ อ้วนขึ้น กว่าเดิมอย่างรวดเร็ว (Yoyo effect) เนื่องจากเราได้ทำลายระบบเผาผลาญพลังงานในร่างกายเราไปแล้วนั่นเอง

การลดน้ำหนักอย่างถูกวิธีนั้นต้องมีการควบคุมโภชนาการที่ถูกต้อง เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์แก่ร่างกาย ลด ละ เลิก การรับประทานอาหารขยะ ควบคู่ไปกับการออกกำลังกาย ถ้าทำได้เช่นนี้การมีหุ่นสวย สุขภาพดี อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมแน่นอนค่ะ

การลดน้ำหนักด้วยการดื่มน้ำมากเกินไปอาจทำให้เสียชีวิต



การดื่มน้ำสามารถเพิ่มความสามารถในการเผาผลาญแคลอรี่ได้เพิ่มขึ้นก็จริง แต่การดื่มน้ำมากเกินไปก็เป็นอันตรายต่อร่างกายเช่นกัน

โดยปกติแล้วร่างการประกอบไปด้วยน้ำร้อยละ 70 และถือว่าเป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย เราควรดื่มน้ำสะอาดวันละ 8-10 แก้ว การดื่มน้ำที่ถูกวิธีนั้นไม่ควรดื่มที่ละมากๆ แต่ควรจิบเป็นระยะ ไม่ควรดื่มน้ำครั้งละมากๆ เพราะถ้าร่างกายได้รับน้ำในปริมาณมากและรวดเร็วจะทำให้เกิดภาวะน้ำเกินหรือน้ำเป็นพิษ เป็นสาเหตุให้น้ำในเซลล์และนอกเซลล์ขาดความสมดุล ส่งผลให้น้ำในเลือดสูง ความเข็มข้นของเลือดลดลง ทำให้ร่างกายต้องขับแร่ธาตุโปแตสเซียมออกจากเซลล์เพื่อปรับสมดุลระหว่างน้ำในเซลล์และนอกเซลล์ อาการเตือนเมื่อเกิดภาวะแร่โปรเซียมไม่สมดุลคือ เป็นตะคริว กล้ามเนื้อเกร็ง อ่อนแรง ถ้าเกิดการเกร็งในสมอง ปอดหัวใจ จะทำให้ระบบทางเดินหายใจล้มเหลวและเสียชีวิตได้

มีกรณีตัวอย่างของผู้ทึ่ต้องการลดน้ำหนักด้วยการดื่มน้ำมากๆ แล้วเสียชีวิตที่ประเทศอังกฤษ สำนักข่าว BBC รายงานว่า Jacqueline Henson อายุ 40 ปี จากเมืองฮัดเดอร์ฟิลด์ประเทศอังกฤษ ได้เสียชีวิตเนื่องจากการดื่มน้ำมากเกินไปเพื่อลดน้ำหนัก ผลการชันสูตรพบว่าเธอตายเพราะสมองบวมเพราะการดื่มน้ำมากๆ ในระยะเวลาอันสั้นนั่นเอง
 

การลดน้ำหนักสำหรับสาวอายุ 30+


เคยสงสัยมั้ยว่าทำไมลดน้ำหนักแบบเดิมๆ ถึงไม่ได้ผล ทั้งๆ ที่เราก็ทำเหมือนเดิมทุกอย่าง เป็นความจริงที่ว่าพออายุมากขึ้น น้ำหนักก็ลดยากขึ้น ทั้งนี้เนื่องจากร่างกายเราเผาผลาญพลังงานได้ช้าลงนั่นเอง นอกจากน้ำหนักลดยากแล้ว เรายังมีปัญหาเรื่องผิวหย่อนคล้อยอีกด้วย
เมื่ออายุมากขึ้นปัญหาที่ตามมาคือ ระดับ Growth Hormone ลดลง ผลคือ กล้ามเนื้อจะค่อยๆ ถูกแทนที่ด้วยไขมัน ซึ่งมีผลต่ออัตราการเผาผลาญของร่างกาย รวมทั้งจำนวนแคลอรี่ที่ร่างกายต้องการใช้สำหรับการดำรงชีวิตก็ลดลงเช่นกัน ในขณะที่เรารับประทานเท่าเดิมหรืออาจจะมากกว่าเก่า ทำให้เราได้รับแคลอรี่เข้าสู่ร่างกายมากกว่าถูกเผาผลาญนั่นเอง

วิธีต่อไปนี้ไม่ใช่สูตรไดเอต แต่มันคือแผนการกินเพื่อสุขภาพที่นอกจากช่วยลดน้ำหนัก คุมน้ำหนัก แล้วยังช่วยชะลอวัยได้อีกด้วย

กระตุ้นการเผาผลาญอาหาร
มี 2 วิธีคือ การกินอาหารที่มีแคลอรี่น้อย หรือ เร่งให้ร่างกายเผาผลาญไขมันมากขึ้น การขยับร่างกายเคลื่อนไหวบ่อยๆ ทำงานบ้าน เลือกเดินขึ้นบันไดแทนการขึ้นลิฟท์ ทำให้ร่างกายต้องการใช้แคลอรี่มากขึ้น ออกกำลังกายเบาๆ อย่างสม่ำเสมอก็เป็นการช่วยเพิ่มกล้ามเนื้อให้แก่ร่างกาย ยิ่งคุณมีกล้ามเนื้อมากเท่าไหร่ก็ยิ่งเผาผลาญพลังงานได้มากขึ้นเท่านั้น นอกจากนี้การดื่มน้ำมากๆ ก็มีส่วนช่วยให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานเพิ่มขึ้นเช่นกัน จึงไม่ควรดื่นน้ำน้อยกว่า 1.5 ลิตรต่อวัน

2.    ควรทานของว่างเสริมระหว่างมื้อหลัก
ของว่างเสริมระหว่างมื้อหลักช่วยลดน้ำหนักได้ แต่ควรเป็นของว่างพลังงานต่ำ อาหารว่างจะช่วยให้ระดับน้ำตาลในเลือดคงที่ อารมณ์และฮอร์โมนเกิดความสมดุล ป้องกันความรู้สึกหิวและทำให้ระบบเผาผลาญทำงานช้าลง

3.    งดอาหารสูตรไดเอทและอาหารไขมันต่ำ
อาหารไดเอตมีไขมันต่ำ แต่มักขาดสารอาหารที่จำเป็นและมีน้ำตาลสูง เพื่อแทนที่รสชาติและเนื้อของไขมัน อาหารไดเอตที่มีสารปรุงแต่งความหวานจะทำให้คุณกินจุและทำให้เกิดริ้วรอยเนื่องจากน้ำตาลทำลายการผลิตคอลลาเจนของผิว ไขมันเป็นสิ่งที่แคลอรี่สูงแต่เมื่ออายุมากขึ้นมันจะกลายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับร่างกายและผิวหนัง แต่ต้องเป็นไขมันที่เหมาะสมและทานในปริมาณเล็กน้อย

ถ้าคุณสามารถปรับเปลี่ยนนิสัยในการรับประทานอาหาร โดยเลือกทานเฉพาะอาหารที่ดีและมีประโยชน์เหมาะสมกับความต้องการของร่างกาย ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอแล้ว ถึงจะมีอายุมากขึ้นก็ยังมีสุขภาพที่ดี รูปร่างที่ดี ดูอ่อนเยาว์อยู่เสมอได้ค่ะ

วันพุธที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2555

Review ฝังเข็มลดความอ้วน

การฝังเข็มลดความอ้วนได้จริงหรือ? วันนี้เรามีคำตอบให้ค่ะ














มีอยู่ช่วงนึงเป็นความดันต่ำแม่เลยให้ไปรักษาด้วยการฝังเข็มกับหมอจีน ไหนๆ ก็เจ็บตัวแล้วเลยถามหมอว่าฝังเข็มลดน้ำหนักได้หรือเปล่า หมอก็ว่าทำได้จ่ายเพิ่มแค่ค่าเข็ม เราก็โอเคเลย เรื่องความดันต่ำช่างมัน ความสวยต้องมาก่อน 555+
เข็มที่ใช้ในการฝังเข็มแบบจีนจะมีลักษณะเล็กๆ และมีความยาวหลายขนาดแล้วแต่จุดที่ฝัง ของเราฝังที่ต้นแขนข้างละ 2 เข็ม  หน้าท้อง 6 เข็ม ต้นขาข้างละ 4 เข็ม น่องข้างละ 4 เข็ม ต้องฝังเป็นคู่เพราะมีการต่อสายไฟจากเครื่องแล้วมาหนีบกับเข็มที่ปักอยู่กับตัวเรา เป็นการใช้ไฟฟ้ากระตุ้นการทำงานของกล้ามเนื้อ อืม....คิดว่างั้นนะ ถ้าถามว่าเจ็บมั้ย ก็เจ็บเป็นบางจุด หมอจีนเค้าจะฝังลึกนิดนึง ถ้าเป็นจุดที่ไขมันเยอะจะไม่ค่อยเจ็บเท่าไหร่ แต่ถ้าเป็นกล้ามเนื้อบางทีจะเจ็บค่อนข้างมาก จะรู้สึกเหมือนโดนไฟช็อต เค้าว่าถ้าฝังไม่ลึกมันจะไม่ค่อยได้ผล หลังจากเสียบสายไฟเสร็จก็นอนช็อตไปประมาณ 20 นาที ถึงเวลาเปลี่ยนข้าง คราวนี้นอนคว่ำ ฝังตรงสะโพกกับก้น  4 เข็ม อันนี้เข็มค่อนข้างยาว เอ่อ...เพราะชั้นก้นใหญ่ใช่ม้ายยยยย ฝังต้นขาหลังข้างละ 1 ตรงข้อพับขา ข้างละ 1 และตรงน่องอีกข้างละ 2 เข็ม ตรงน่องเจ็บมากกว่าที่อื่นนิดนึง แล้วก็นอนให้ไปไฟช็อตอีก 20 นาที พอทำเสร็จจะรู้สึกปวดเมื่อยเหมือนออกกำลังกาย ง่วงด้วย การฝังแบบที่เราฝังจะเน้นให้มีการเผาผลาญไขมันมากขึ้น กล้ามเนื้อกระชับมากขึ้น แต่ไม่ได้ฝังให้หิวน้อยลงเพราะปกติไม่ใช่คนกินเยอะ แค่ชอบกินของที่ทำให้อ้วนเท่านั้นเอง 555+

หมอบางคนจะมีเทคนิคในการฝังเข็มลดน้ำหนักต่างกัน บางคนให้ยาร่วมด้วย หรืออาจจะมีการแปะเมล็ดผักไรซักอย่างที่ในหู เพื่อช่วยควบคุมความอยากอาหาร จะทำให้ไม่ค่อยหิวและอิ่มเร็วขึ้น

อาทิคย์นึงเราไปฝังประมาณ 2 ครั้ง พอผ่านไปซัก 2 อาทิตย์ก็เริ่มเห็นผลนะ น้ำหนักลดไปบ้างไม่เยอะ แต่สัดส่วนน่าจะลดลงเพราะใส่เสื้อผ้าหลวมขึ้น ถ้าใครอยากลองวิธีลดน้ำหนักแบบไม่ใช้ยา ลองมาฝังเข็มดู แต่ไม่แนะนำการฝังเข็มแบบการกินยาร่วมด้วย เพราะถ้าหยุดไปอาจจะทำให้น้ำหนักขึ้นง่ายกว่า เนื่องจากยาทำให้เราหิวน้อยลง พอเลิกกินบางคนอาจจะกินมากกว่าเก่า เพราะเหมือนอดมานาน ให้คุมอาหารเองดีกว่าค่ะ จะได้ผลในระยะยาว เป็นการฝึกวินัยในการกินให้กับตัวเองด้วย

วันจันทร์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2555

Review DQ L Slem



วันนี้มีรีวิวอาหารเสริมลดน้ำหนักก่อนนอนตัวใหม่มาแนะนำ DQ L Slem คนขายเค้าแนะนำว่ากินดีกว่า Nitetime Max เพราะมีส่วนประกอบอื่นเพิ่มเติม คือ โครเมี่ยม ก็ไม่รู้อะว่ากินโครเมี่ยมไปแล้วมันช่วยเรื่องอะไร แต่พอเค้าบอกว่าดีกว่าเลยเอามาลองดู แต่ราคาแอบแรงกว่า Nitetime Max อะ ตอนแรกซื้อมาลอง 2 กล่อง กล่องนึงมี 30 เม็ด กินครั้งละ 2 เม็ด ก็อยู่ได้เดือนนึง

หนึ่งเดือนผ่านไปไวเหมือนโกหก น้ำหนักไม่ลดเลย T T กลับไปที่ร้านยาอีกรอบบอกคนขายว่าน้ำหนักมันไม่ลดเลย คนขายทำหน้าตกใจมากถามใหญ่เลย ไม่ลดเลยจริงๆ หรอ รู้สึกเสื้อผ้าหลวมมั่งหรือเปล่า คนอื่นๆ กินก็ได้ผลนะ คนอายุ 50 กว่ายังลดเลย กินไปนานเท่าไหร่แล้ว พอบอกว่า 1 เดือน ก็เลยแนะนำว่าลองกินต่อให้ได้ 2-3 เดือนสิ จะเห็นผลชัดเจน เอาวะ...ไหนๆ ก็ลองกินแล้ว กินต่อก็อีกหน่อยก็ได้ ถ้าไม่ลดจะลองกลับไปกิน Nitetime Max ละ มันอาจจะไม่ถูกกับเราก็ได้ ก็คนขายว่าคนอื่นกินแล้วมันได้ผลนี่นา แต่ก็ยังดีที่น้ำหนักไม่ลดแต่ก็ไม่เพิ่ม แต่กระชับขึ้นเปล่าอันนี้ไม่ค่อยแน่ใจ คราวหน้าต้องวัดสัดส่วนเก็บไว้ด้วย จะได้มีตัวเปรียบเทียบ


ข้อมูลทั่วไป

ผลิตภัณฑ์ลดน้ำหนัก ช่วยเผาผลาญในขณะที่คุณนอนหลับ ด้วยการทำงานของกรดอะมิโน 8 ชนิด ที่ทำงานร่วมกันในการกระตุ้นการทำงานของ Human Growth Hormone ให้ เผาผลาญไขมันส่วนเกิน เสริมสร้างมวลกล้ามเนื้อ กระชับสัดส่วน พร้อมทั้งบำรุงร่างกาย ผิวพรรณ และช่วยชะลอความแก่ นอกจากนี้ยังผสมผสานการทำงานของโครเมียมที่ช่วยสลายสารอาหารประเภทแป้ง น้ำตาล ให้เปลี่ยนเป็นพลังงานมากขึ้น จึงรู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่า แม้ในขณะลดน้ำหนัก


ใน 1 เม็ด ประกอบด้วย

กรดอะมิโน 8 ชนิด ประกอบด้วย

แอล-คาร์นิทีน (L-Carnitine) 300 mg.

แอล-อาร์จินีน (L-Arginine) 200 mg.

แอล-ไกลซีน (L-Glycine) 100 mg.

แอล-ไลซีน (L-lysine) 50 mg.

แอล-ออร์นิทีน (L-Ornitine) 50 mg.

แอล-กลูตามีน (L-Glutamine) 50 mg.

แอล-เมไธโอนีน (L-Methionine) 15 mg.

แอล-ไทโรซีน (L-Tyrosine) 35 mg.

โครเมียม (Chromium) 130 mg.


ขนาดรับประทาน

2 เม็ดก่อนนอน ไม่ต้องรอท้องว่าง